ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ฝูงนกเป็ดน้ำถลาเล่นลมหนีความหนาวบินโฉบไปมาทั่วอ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา



วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:21:44 น.  มติชนออนไลน์

ฝูงนกเป็ดน้ำถลาเล่นลมหนีความหนาวบินโฉบไปมาทั่วอ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา

เมื่อเวลา  15.00  น  วันที่  29  มกราคม    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ได้มีฝูงนกเป็ดน้ำ ประมาณ  500  ตัว  บินโฉบวกวนเหนือท้องฟ้าชุมชนเทศบาล   สร้างความแตกตื่นให้ประชาชนก่อนบินถลาลงสู่   อ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา   แหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปาให้  ชุมชนเทศบาลตำบลกังแอน   อ.ปราสาท  จ.สุรินทร์   แล้วลอยตัวระเริงเล่นอยู่บนท้องน้ำอย่างสนุกสนาน


 ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า   อ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา  มีพื้นที่กว้างใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่  บ้านบุเจก   บ้านปะอาว   บ้านปลุง  และบ้านตะเคียน   ต.กังแอน  ปีนี้ฟูงนกเป็ดน้ำบินเข้ามาช้ากว่าทุกปี  อันเนื่องมาจากอากาศในแถบนี้หนาวเย็น   ครั่นลมเปลี่ยนทิศ   สภาพอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น จึงทำให้  ฝูงนกเป็ดน้ำจาก ประเทศไซบีเรีย  บินลัดฟ้าหนีความเย็นหาความอบอุ่น


นายสำเร็จ  พูนสิรินาวิน  ปศุสัตว์อำเภอปราสาท  กล่าวว่า ฝูงนกเป็ดน้ำใน อ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา  คงหนีมาจากแหล่งที่มีคนล่ายิงเป็นอาหาร   ( นักนิยมอาหารป่า  )  ดังนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในพื้นที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้ชื่นชม  หากใครไปยิงทำร้ายจะกระทำความผิด พ.ร.บ.สัตว์ป่าสงวนคุ้มครอง     

ด้าน  นายศราวุธ  รุ่งธนเกียรติ  นายกเทศมนตรีตำบลกังแอน  อ.ปราสาท  กล่าวว่า  ได้ประกาศเสียงตามสายและมีหนังสือถึงชุมชนเทศบาล  ให้รับทราบแล้วว่า   ขณะนี้มีฝูงนกเป็ดน้ำจำนวนมากหนีความหนาวเย็นมาอาศัยอยู่ที่  อ่างเก็บน้ำสุวรรณาภา    นอกจากนี้ยังมีนกกระยางขาว   เข้ามาหาอาหารในอ่างน้ำด้วย   เมื่อไปพบเห็นฝูงนกเป็ดน้ำอย่าไล่  และอย่ายิง   ตกค่ำฝูงนกเป็ดน้ำจะไปหลับนอนในป่าหญ้ากก  

                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1264767742&grpid=03&catid=19

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog

วิวาทะแนวทางการเมืองสีเขียว



วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:52:08 น.  มติชนออนไลน์

วิวาทะแนวทางการเมืองสีเขียว

โดย... เกษียร เตชะพีระ

การที่บรรดาชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกมัวแต่ผัดผ่อนและล้มเหลวครั้ง แล้วครั้งเล่าที่จะตกลงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อแก้ภาวะโลกร้อน โดยยอมแบกรับภาระต้นทุนผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นบ้าง อันมีกรณีการประชุมสุดยอดที่โคเปนเฮเกนปลายปีที่แล้วเป็นตัวอย่างล่าสุดนั้น นอกจากชวนหดหู่หมดหวังแล้ว ก็ยังบ่งชี้ความสัมพันธ์อันมัดแน่นแกะไม่ออกระหว่างปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก กับ [ระบบการผลิตที่อาศัยเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือซากดึกดำบรรพ์ + เศรษฐกิจอุตสาหกรรม + สังคมบริโภคนิยม] ด้วย


ประเด็นนี้ก่อความแตกต่างขัดแย้งทางความคิดในขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่าง : -


1) ฝ่ายที่เล็งการณ์ร้ายว่าอารยธรรมมนุษย์ดังที่เป็นอยู่นี้เกินแก้ไขเยียวยา มิสู้ปล่อยให้มันล่มสลายไปเลยดีกว่า แล้วค่อยสร้างขึ้นมาใหม่หมด กับ


2) ฝ่ายที่เห็นว่าหากนิ่งดูดายปล่อยไปเช่นนั้น จะเกิดต้นทุนความสูญเสียแก่มนุษยชาติสูงเกินรับไหว ดังนั้นถึงไงก็ต้องพยายามมองโลกในแง่ดี ยืนหยัดต่อสู้ผลักดันให้รัฐบาลนานาชาติและชาวโลกเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิถีการ ผลิตและบริโภคทางเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะมาถึง


ไม่นานมานี้ ปัญญาชนนักเคลื่อนไหวชั้นแนวหน้าของขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในอังกฤษ 2 คน คือ พอล คิงส์นอร์ธ กับ จอร์จ มองบิโอต์ ผู้เป็นตัวแทนแนวคิด 2 ฝ่ายดังกล่าว ได้เปิดฉากวิวาทะกันเรื่องนี้ทางจดหมายผ่านเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เดอะกา ร์เดียน ต่างนำเสนอแง่คิดมุมมองข้อถกเถียง การประเมินสถานการณ์ และวิเคราะห์วิจารณ์ทางออกที่เป็นไปได้อย่างน่าสนใจชวนพินิจพิจารณา ในฐานะที่นับวันมันจะกลายเป็นประเด็นระเบียบวาระทางนโยบายรูปธรรมสำคัญเร่ง ด่วนใกล้ตัวทั้งระดับสากลและในประเทศ ดังเช่นกรณีมาบตาพุด/มาบตาพิษ เป็นต้น

 


ผมจึงใคร่ขอนำมาถ่ายทอดเสนอต่อตามลำดับดังนี้.....

 

จดหมายฉบับที่ 1

 

จอร์จเพื่อนรัก,

 

 


บนโต๊ะข้างหน้าผมเป็นกราฟชุดหนึ่ง แกนราบของกราฟแต่ละรูปแสดงปี ค.ศ.1750 ถึง 2000 กราฟต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นระดับประชากร, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมในชั้นบรรยากาศ, การจับสัตว์น้ำจากการประมง, การตัดไม้ทำลายป่าเขตร้อน, การบริโภคกระดาษ, จำนวนรถยนต์, การใช้น้ำ, อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของเศรษฐกิจมนุษย์ทั้งหมด


สิ่งที่สะกดความคิดจิตใจผมเกี่ยวกับกราฟพวกนี้ (ซึ่งปกติแล้วกราฟจะไม่ค่อยสะกดความคิดจิตใจผมเท่าไหร่) ก็คือถึงแม้พวกมันจะแสดงเรื่องราวแตกต่างกันสารพัด แต่กลับมีรูปร่างแทบเป็นพิมพ์เดียวกัน นั่นคือเส้นกราฟจะเริ่มจากซีกซ้ายของหน้าแล้วค่อยๆ ไต่สูงขึ้นขณะเคลื่อนไปทางขวา และพอถึงระยะราวหนึ่งนิ้วก่อนสุดหน้า-ซึ่งตกราวปี ค.ศ.1950 ตามแกนราบของกราฟ-เส้นก็จะหักเหพุ่งขึ้นบน เหมือนเวลานักบินหันหัวเครื่องบินโผขึ้นสูงเพื่อหลบหน้าผาที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากก้อนเมฆที่เขาคิดว่าว่างเปล่า


รากเหง้าของแนวโน้มทั้งปวงในกราฟเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวกัน นั่นคือเศรษฐกิจ มนุษย์ที่ตะกละตะกลามซึ่งกำลังนำพาโลกไปจ่อริมเหวของความโกลาหลอลหม่านอย่าง ว่องไว เราเองก็รู้เรื่องนี้ พวกเราบางคนกระทั่งพยายามหยุดมันไว้ไม่ให้เกิดขึ้น แต่กระนั้นแนวโน้มดังกล่าวกลับยังเลวร้ายลงต่อไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่มีสัญญาณเลยว่ามันจะเปลี่ยนแปรเป็นอื่นในเวลาอันใกล้ สิ่งที่กราฟเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดกว่าอื่นใดก็คือความเป็นจริงอันเลือดเย็น ว่าการล่มสลายอย่างร้ายแรงกำลังจะมาถึง


แต่กระนั้นก็มีพวกเราน้อยคนเหลือเกินที่พร้อมจะจ้องมองดูเรื่องราว ความเป็นจริงดังกล่าวนี้อย่างซื่อๆ ตรงๆ ขณะที่มันกรีดร้องบอกเราว่า อารยธรรมซึ่งเราร่วมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วยนั้นกำลังพุ่งเข้าใส่กำแพงกันชน ด้วยความเร็วเต็มพิกัด และสายเกินไปแล้วที่จะหยุดมัน แทนที่จะยอมรับความจริงที่ว่านั้น พวกเราส่วนใหญ่-ซึ่งผมเหมารวมขบวนการสิ่งแวดล้อมกระแสหลักมากมายไว้ด้วย -กลับยังยึดติดอยู่กับวิสัยทัศน์ที่เห็นอนาคตเป็นแค่สภาพปัจจุบันที่ปรับ ปรุงดีขึ้นเท่านั้นเอง เรายังคงเชื่อ "ความก้าวหน้า" แบบที่ลัทธิเสรีนิยมตะวันตกนิยามไว้อย่างมักง่าย เรายังคงเชื่อว่าเราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสบายๆ แบบที่เคยอยู่มาได้ต่อไป (แม้จะต้องมีแหล่งผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมมากขึ้นและมีหลอดไฟคุณภาพดีขึ้นบ้าง ) ขอเพียงแต่เราอ้าแขนโอบรับ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" มาเร็วพอ, อีกทั้งยังเชื่อด้วยว่าเราจะสามารถขยาย "การพัฒนาที่ยั่งยืน" ไปยังประชากรอีก 3 พันล้านคนที่จะถือกำเนิดมาสมทบกับเราบนดาวเคราะห์ที่อึดอัดจนหายใจไม่ค่อย ออกอยู่แล้วใบนี้ในเวลาอันสั้น


ผมคิดว่านี่เป็นการปิดหูปิดตาปฏิเสธ ความเป็นจริง เห็นสัญญาณกันโทนโท่แล้วว่าสังคมอุตสาหกรรมไปไม่รอด และไม่ว่าจะช็อปปิ้งกันอย่างมีจริยธรรมสำนึกเพียงใดหรือปักใจประท้วงเด็ด เดี่ยวแค่ไหนก็ไม่มีทางเปลี่ยนมันได้แล้วตอนนี้ หากเอาอารยธรรมที่ตั้งอยู่บนมายาการเรื่องมนุษย์เป็นข้อยกเว้นพิเศษไม่ เหมือนใครกับท่าทีที่หยั่งลึกทางวัฒนธรรมต่อ "ธรรมชาติ" เป็นตัวตั้ง, บวกด้วยความเชื่อเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัตถุอย่างหลับหูหลับตา, แล้วจุดเชื้อขับเคลื่อนทั้งหมดนั้นด้วยแหล่งพลังงานซึ่งกว่าจะค้นพบว่ามันมี ลักษณะทำลายล้างฉิบหายวายวอดก็หลังจากที่เราได้ใช้มันเพิ่มทวีจำนวนผู้คนและ กิเลสโลภของเราจนสายเกินแก้แล้ว ลองผสมผสานทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกันแล้วคุณว่ามันจะได้อะไรหรือ? เรากำลังเริ่มพบคำตอบต่อคำถามนั่นแล้วตอนนี้


เราต้องเลิกงี่เง่าได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังจวนเจียนจะถึงจุดสายเกินแก้เต็มที ขณะพวกผู้นำของเรายังพากันตีฆ้องร้องป่าวให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอีก ระบบเศรษฐกิจที่เราพึ่งพาอยู่นั้นไม่อาจกำราบมันให้เชื่องได้โดยที่มันไม่ พังพินาศลงไป ทั้งนี้เพราะมันอาศัยการเติบโตที่ว่านั่นแหละจึงจะดำเนินงานได้ และเอาเข้าจริงมีใครหน้าไหนบ้างอยากกำราบมันให้เชื่อง? คนส่วนใหญ่ในโลกที่ร่ำรวยจะไม่ยอมเสียสละรถยนต์หรือวันหยุดของตนโดยไม่สู้รบ ปรบมือสักตั้งหรอก


มีบางคน-ซึ่งอาจเป็นคุณด้วย-เชื่อว่า ไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาต่อให้มันจริงก็ตามเพราะขืนพูดคนจะหมด  "หวัง" และหากสิ้นหวังแล้ว ก็ไม่มีโอกาสจะ "กอบกู้ดาวเคราะห์โลก"  ได้ แต่ความหวังลมๆ แล้งๆ มันเลวร้ายกว่าหมดหวังเสียอีก ส่วนเรื่องการกอบกู้ดาวเคราะห์โลกน่ะ-เอาเข้าจริงที่เรากำลังพยายามจะกอบกู้ ระหว่างตะเกียกตะกายติดตั้งกังหันลมบนภูเขาและตะโกนด่าพวกรัฐมนตรีนั้นไม่ ใช่ดาวเคราะห์โลกหรอก แต่คือการยึดมั่นถือมั่นวัฒนธรรมเชิงวัตถุของตะวันตกต่างหาก ซึ่งเราจินตนาการไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีมัน


สิ่งท้าทายเราไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะค้ำจุนจักรวรรดิซึ่งกำลังเสื่อม สลายลงด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังคลื่นและการประชุมสุดยอดระดับโลกอย่างไร แต่เป็นประเด็นที่ควรเริ่มคิดได้แล้วว่าเราจะเอาตัวรอดการล่มจมของจักรวรรดิ อย่างไร และเราจะสามารถเรียนรู้อะไรจากการล่มสลายของมันได้บ้าง
ด้วยปรารถนาดี


พอล

                              http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1264773309&grpid=no&catid=02

--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://www.nakkhaothai.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog