ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ขนสัตว์ป่านานาพันธุ์หายาก ให้ชาวกรุงยลโฉมใกล้ชิดอีกครั้ง


Pic_36495

ดิ เอ็มโพเรียมฯจัดงาน "Emporium Flora & Fauna Exotica : King of The Jungle อลังการเจ้าป่าซาฟารี" เตรียมเนรมิตทั้งศูนย์การค้าให้เป็นดินแดนแอฟริกา สรวงสวรรค์แห่งสัตว์ป่านานาพันธุ์ ...



ผล กระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้ปริมาณสัตว์ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าในอนาคต สายพันธุ์สัตว์และพืชพันธุ์หายากอาจสูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย!! ค่ายดิ เอ็มโพเรียมฯ ภายใต้การนำของ "ศุภลักษณ์ อัมพุช" รณรงค์ให้เยาวชนไทยเกิดความหวงแหนในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดงาน "Emporium Flora & Fauna Exotica : King of The Jungle อลังการเจ้าป่าซาฟารี" ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม เตรียมเนรมิตทั้งศูนย์การค้าให้เป็นดินแดนแอฟริกา สรวงสวรรค์แห่งสัตว์ป่านานาพันธุ์
ระหว่างวันที่ 8-18 ต.ค.นี้



สำหรับ บรรยากาศของงานปีนี้ ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างกว่าทุกครั้ง เพราะขนสัตว์ป่าพันธุ์หายากมาให้ชาวกรุงได้ชมมากกว่า 50 สายพันธุ์ โดยจัดขึ้นในคอนเซปต์ "Save the world Save the wild-Global Warming threat the wild life" ได้แรงบันดาลใจจากโครงการ "The Princes Rainforest Project" ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ


ภาย ในงานแบ่งพื้นที่เป็น 8 โซนหลักๆ ไม่น่าพลาดชมได้แก่ โซน "King of The Jungle" อลังการเจ้าป่าซาฟารี ที่บริเวณเอ็มโพเรียม พาร์ค หน้าศูนย์การค้าฯ ขนสัตว์แปลกๆพันธุ์หายากมาจัดแสดงให้ได้ตื่นตาตื่นใจในบรรยากาศท้องทุ่งซา วันน่า มีอาทิ ลูกสิงโต, ลูกเสือขาว, นกกระจอกเทศ, สไปเดอร์มังค์กี้, ตัวลีเมอร์ และตัวคินดาจู



ถัด ไปบริเวณโมชั่นฮอลล์ ชั้น G เป็นโซนของ "Protea Extravaganza" อัศจรรย์ดอกโพรเทีย ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยดอกไม้ประจำชาติของแอฟริกา ที่บานสะพรั่งไปทั่วพื้นที่ โดยมีสัตว์เลื้อยคลานในทะเลทรายใกล้สูญพันธุ์ คอยทักทายตลอดสองข้างทาง เช่น ชูก้าไกรเดอร์ กระรอกที่มีกระเป๋าหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ ตัวโอพอสซั่ม และเต่าบิน สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ เพราะสภาพอากาศเปลี่ยน



ขึ้น ไปที่ชั้น 6 ยังเนรมิตพื้นที่เป็นโซน "Jungle of Apes" ตระการตาบ้านทาร์ซานและเหล่าวานร เปิดโอกาสให้เด็กๆได้ผจญภัยและค้นหาความลับของสิงสาราสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ ท่ามกลางบรรยากาศแบบแอฟริกัน ชมความน่ารักของจิ้งจอกหูค้างคาว, ลิงกระรอก, ลีเมอร์ขาวดำจอมทะเล้น, นกแสก, เต่าใบไม้, ตะโขง และหิ่งห้อยยักษ์



ชัก จะตื่นเต้นแล้วใช่ไหมคะ ร่วมสัมผัสความมหัศจรรย์ของดินแดนซาฟารี ได้ตั้งแต่วันที่ 8-18 ต.ค.นี้ ที่ดิ เอ็มโพเรียม ช็อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ รับรองว่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ปีก่อนๆแน่นอน.

http://www.thairath.co.th/content/life/36495
--
      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

สื่อโลกยกทัพบุก "บางขุนเทียน"

 
  สื่อโลกยกทัพบุก “บางขุนเทียน”

ข่าววันที่ 30 กันยายน 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

                                         สื่อโลกยกทัพบุก บางขุนเทียน

 

 

** 3ต.ค.ซีเอ็นเอ็น-บีบีซีฯนำทีม

** เตรียมตีข่าวแผ่นดินกทม.หาย

 

    มา กันทั้งเอพี-รอยเตอร์-ซีเอ็นเอ็น-บีบีซี และอีกกว่า 10 สถานีสื่อนอกชั้นนำ ชูตัวอย่างจะจะของไทย-เจ้าภาพประชุมโลกร้อน ที่ภัยจ่อประชิดเมืองหลวง ขณะเขื่อนไม้ไผ่กทม.เพิ่งได้ฤกษ์พ.ย.นี้

 

     ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ล่าสุดบริเวณชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียน กทม. ภายหลังพายุไต้ฝุ่น กิสนาเริ่ม เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้ส่งผลกระทบให้เกิดคลื่นลมรุนแรงพัดเข้าสู่ชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง จากเดิมในสภาวะปกติความสูงของคลื่นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50-80 เซนติเมตร เป็น 1 เมตรเศษ ซึ่งสร้างความวิตกกังวลต่อประชาชนชาวบ้านที่พักอาศัยและมีที่ดินทำกินบริเวณ ชายฝั่งจำนวนกว่า 100 ครอบครัว ถึงปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจากทางหน่วยงานที่รับผิดชอบคือกทม. ขณะเดียวกันการทำประมงชายฝั่งซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในย่านนี้ต้องหยุด ชั่วคราวเพื่อรอให้คลื่นลมสงบ

    ทั้ง นี้ มีรายงานข่าวว่า คณะสื่อมวลชนชั้นนำจากต่างประเทศ อาทิ สำนักข่าวเอพี-รอยเตอร์ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สำนักข่าวบีบีซี และอีกกว่า 10 สถานีซึ่งเดินทางมาทำข่าวการประชุมภาวะโลกร้อนที่ประเทศไทย ได้มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ทำข่าวผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนที่ ย่านชายทะเลบางขุนเทียน กทม.ในวันที่ 3 ต.ค.ที่จะถึงนี้เพื่อนำเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก ต่อไป

    ขณะ เดียวกันจากการสอบถามนายชัยนาท นิยมธูร ผอ.กองพัฒนาระบบหลัก สำนักการระบายน้ำ กทม.ถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียนได้รับคำตอบ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดประมูลหาผู้รับเหมาผ่านระบบอี-ออกชัน (E-Auction) สร้างเขื่อนชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะเขื่อนไม้ไผ่เป็นแนว ขนานห่างจากชายฝั่ง 50-100 เมตร ยาว 3.7 กิโลเมตรตลอดแนวฝั่งของกทม.4.7 กิโลเมตร รวมกับของเดิมที่มีองค์กรการกุศลสร้างไว้แล้ว 1 กิโลเมตร ภายใต้งบประมาณ 10 ล้านบาท    

          อย่าง ไรก็ตาม เบื้องต้นคาดจะได้ผู้รับเหมาและเตรียมจัดหาเครื่องมือตลอดจนวัตถุดิบเสร็จ สิ้นในต.ค.นี้ จากนั้นจะเริ่มทยอยทำเป็นส่วนๆ ได้ตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้อย่างแน่นอนตามที่กทม.ได้เคยรับปากกับชาวบ้านใน พื้นที่ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเขื่อนไม้ไผ่ชั่วคราวดังกล่าวจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ในระดับหนึ่งและมี อายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี โดยระหว่างนั้นกทม.จะเร่งสร้างแนวเขื่อนถาวร ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาหาข้อสรุปเรื่องรูปแบบและงบประมาณที่จะใช้ คาดจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งและจะแจ้งให้ทราบต่อไป นายชัยนาทกล่าว

 

 

 

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=62&nid=47525

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

อิหร่านเผยที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์อีกแห่ง

อิหร่านเผยที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์อีกแห่ง

ข่าววันที่ 25 กันยายน 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

                   สหประชาชาติ -  รัฐบาลเตหะรานยอมเผยที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์อีกแห่งแก่ไอเออีเอก่อนการเจรจาควบคุมนิวเคลียร์รอบใหม่

                สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลอิหร่านได้ทำหนังสือถึงนายโมฮัมเหม็ด เอลบาราได ประธานทบวงปรมาณูสากล หรือไอเออีเอ โดยได้เปิดเผยถึงที่ตั้งของโรงงานผลิตนิวเคลียร์แห่งที่ 2 ของประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรงงานนิวเคลียร์ขออิหร่านตั้งอยู่ที่ นาทานซ์ ห่างจากทางตอนใต้ของกรุงเตหะราน ไป 250 กม. หรือ 150 ไมล์ จดหมายฉบับดังกล่าวถูกส่งถึงไอเออีเอ ก่อนที่จะมีการพูดคุยรอบใหม่เกี่ยวกับเรื่องการควบคุมนิวเคลียร์อิหร่าน ท่ามกลางคำขู่ว่าอาจจะมีการคว่ำบาตรจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=54&nid=47245

--
http://www.kmutnb.ac.th/index.htm
http://www.ecitthai.net
http://www.tourismthailand.org/seminar/
http://www.thaihotels.org/
http://www.tuasso.com/scripts/tua.asp

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ทารกพิการแรกเกิดในจีนเพิ่มขึ้น สาเหตุจากแม่อายุมาก และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11517 มติชนรายวัน


ทารกพิการแรกเกิดในจีนเพิ่มขึ้น สาเหตุจากแม่อายุมาก และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ


คอลัมน์ ร่อนตามลม

โดย raikorn@hotmail.com




กรม สาธารณสุขกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า ตอนนี้ในหลายพื้นที่ของจีนมีอัตราการเกิดของทารกพิการตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ เพิ่มมากขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

เฉพาะที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปีที่แล้วมีทารกพิการแรกคลอด 170 รายในทารกแรกเกิด 10,000 ราย เพิ่มขึ้นจากอัตราทารกพิการแรกเกิด 90 ราย จาก 10,000 ราย เมื่อปี พ.ศ.2540 โดยความพิการส่วนใหญ่ที่พบ เช่น หัวใจพิการ และทารกปากแหว่ง เพดานโหว่

หรือในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของจีน ก็มีตัวเลขทารกพิการแรกเกิดเพิ่มขึ้นจาก 183 รายต่อจำนวนทารกแรกเกิด 10,000 ราย เมื่อปี 2546 เป็น 249 รายต่อ 10,000 ราย เมื่อปี 2550

ที่ มณฑลเจ้อเจียง อัตราการเกิดของทารกพิการก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวระหว่างปี 2546-2550 จาก 115 รายต่อ 10,000 ราย เพิ่มขึ้นเป็น 208 รายต่อ 10,000 ราย การอนามัยเจริญพันธุ์

เหริน อ้ายกั๋ว ผู้อำนวยการสถาบันการอนามัยเจริญพันธุ์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง บอกว่า ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้มีการตรวจพบทารกพิการแรกเกิดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากเทคโนโลยีของอุปกรณ์การแพทย์ตามโรงพยาบาลในนครหลวงที่มี คุณภาพ สามารถตรวจหาโรคได้ดีขึ้น ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็มีทั้งปัจจัยเรื่องอายุของแม่ ที่ตั้งท้องตอนอายุเยอะแล้ว และรูปแบบการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป จากที่คนจีนสมัยก่อนเคยกินผัก ก็เปลี่ยนไปกินอาหารสำเร็จรูป อาหารที่ผ่านกรรมวิธีการปรุงสำเร็จ กันมากขึ้นตามยุคสมัย หลังจากวัฒนธรรมตะวันตก และอาหารฟาสต์ฟู้ด หลั่งไหลเข้าไปหลังจากจีนเปิดประเทศ

ส่วนในพื้นที่ชนบทหลายแห่งของ จีน ซึ่งมีอัตราทารกพิการแรกเกิด "สูง" กว่าในกรุงปักกิ่งมากๆ สาเหตุใหญ่นั้นมาจากการขาดกรดโฟลิค หรือวิตามินบี 9 ในอาหาร ซึ่งวิตามินตัวนี้มีส่วนสำคัญที่จะไปช่วยร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง โดยจะไปช่วยไขกระดูกให้ผลิตเม็ดเลือดแดง และควบคุมการทำงานของสมอง ดังนั้น การขาดกรดโฟลิคจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจนำไปสู่ความพิการของท่อระบบประสาท ที่สามารถนำไปสู่ความพิการที่กระดูกสันหลังและสมองของทารกในครรภ์ได้

ขณะ ที่ปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น โรคอ้วน เหล้า บุหรี่ และการติดเชื้อต่างๆ ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น แล้วก็ยังปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเหริน อ้ายกั๋ว บอกว่าน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่ง

"สารเคมีและมลพิษต่างๆ ที่แพร่กระจายอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพ่อแม่ ยังสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ด้วย"

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการสถาบันการอนามัยเจริญพันธุ์ ก็ออกตัวด้วยว่า นี่เป็นความเชื่อหนึ่งของเขา แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานทางการศึกษามาสนับสนุนว่ามลพิษต่างๆ ทางสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของทารกพิการแรกเกิดในกรุงปักกิ่งหรือ ไม่?

ทั้งนี้ ในเว็บไซต์ทางการของกรมสาธารณสุขกรุงปักกิ่ง ได้พูดถึงภาพรวมของทารกพิการแรกเกิดทั้งหมดในจีนว่า ทุกทารกแรกเกิด 100 คน จะมีทารกพิการอยู่ราว 4-6 คน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขทารกพิการแรกเกิดในสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 3% หรือในทารกแรกเกิด 100 คน จะมีทารกพิการ 3 คน

ขณะที่ตัวเลขสถิติจาก องค์การอนามัยโลกระบุว่า ทุกปีทั่วโลกมีทารกพิการเกิดขึ้นมากกว่า 7.9 ล้านคน หรือราว 6% โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยด้านพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม โดยความพิการที่พบมากที่สุดก็คือ หัวใจพิการ, ท่อระบบประสาทพิการ และทารกที่มีอาการดาวน์ซินโดรม หรือมีความพิการทางสติปัญญา

ในเว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่หยิบรายงานนี้ไปลง ก็บอกว่า ประเด็นเรื่องการเพิ่มขึ้นของทารกพิการแรกเกิดในจีน อาจจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้ ที่อาจจะมีกำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศและเป็นเรื่องน่าห่วง ทั้งจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่า มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง ทั้งยังว่า น่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้ประชาชนได้ระมัดระวังทั้งเรื่องมลพิษทางน้ำ อากาศ ดิน รวมทั้งเรื่องความเครียด ความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาที่คิดอยากจะมีลูกสักคน ก็ต้องคิดถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้ดี


หน้า 25

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ใต้ดวงตะวัน 'บรรยากาศยามเช้า' โดย Issared Wongsing

ใต้ดวงตะวัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2552 20:26 น.
       

        
            ตราบที่ทุกชีวิตยังดำเนินไปใต้ดวงตะวัน ตราบที่รุ่งอรุณยังคงแย้มยิ้มทักทายทุกวันใหม่ ตราบที่แผ่นดินยังแนบสนิทอยู่ใต้ฝ่าเท้า ตราบที่ผืนฟ้ายังแผ่ไพศาลสุดสายตา
       

            ตราบที่ดวงตะวันยังไม่มอดดับ
            ตราบนั้น จงอย่าละทิ้ง ‘ศรัทธา’
            ศรัทธาต่อสิ่งใด?
       

            มนุษย์เอย หากคำถามก่อตัวขึ้น จงค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ก็ตัวเจ้าเท่านั้นหรือมิใช่ คือผู้ครอบครองชีวิตของตน เช่นนี้แล้ว ก็จงเลือกเองเถิด ว่าเจ้าจักศรัทธาต่อสิ่งใด สิ่งไหนทำให้ใจของเจ้าเป็นสุข อิ่มเต็มโดยมิต้องเติมแต่งให้มากล้น
       
            คือสิ่งไหนที่ฝังแน่นอยู่ในเนื้อใจ ก่อเกิดเป็นพลานุภาพให้เจ้าหยิบฉวยมาใช้ได้ในยามที่เหนื่อยล้า อ่อนแรง ทุกข์โศก เศร้าหมอง
       
            คือสิ่งไหนที่หยั่งรากลึกลงภายในใจ ในแก่นกลางสำนึก สิ่งไหน ที่จะหยัดยืนอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่หลบเร้นลี้หายแม้ในยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับอุปสรรค
       
            จริงอยู่ แม้บางครั้งครา ตัวเจ้าอาจนำพาสองเท้าให้ก้าวหนีจากภัยหรือละทิ้งอาณาสถานใดๆ ก็ตามที หากพลานุภาพอันหยั่งลึกและแผ่ไพศาลนี้ ก็จักไม่มีวันบ่ายหน้าหนีห่างเจ้า ตรงกันข้าม มันกลับหยัดยืนอย่างมั่นคง พร้อมใจก้าวย่างเคียงคู่ ผสานเป็นหนึ่งกับทุกกิริยาอาการ รับรู้ และเฝ้าดูทุกความรู้สึกนึกคิด
       
            มันจดจ้อง จดจำ และจับคว้าได้ทุกความว้าวุ่นแกว่งไกว มันมองเห็นทุกอณูของฝุ่นละอองที่คละคลุ้งในดวงใจ มันรู้เท่าทัน มันประจักษ์ได้อย่างกระจ่างชัดถึงกลอุบายที่ล่อหลอกให้มึนเมา
       
            แน่ล่ะ บางครั้งเจ้าอาจพ่ายแพ้ต่อกลลวงเหล่านั้น แต่หากเจ้าได้ค้นพบและถือครองพลานุภาพที่ว่านี้ นั่นย่อมเป็นการปราชัยที่มิใช่จำนนเพราะมืดบอดในการหาหนทาง หากคือการละวางที่จะต่อกร ทัดทาน ฝืนทน กักเก็บ ปิดบัง
       
            เป็นความปราชัยที่นำพาให้ผู้แพ้ก้าวขึ้นไปอยู่เหนือหลุมบ่อ
       
            มนุษย์เอย ก็หากเจ้าไม่เคยพ่ายแพ้ หลงผิด บาดเจ็บยับเยินเสียแล้ว เจ้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าในหลุมพรางหรือกลลวงที่ล่อหลอกเจ้าได้สำเร็จนั้น มีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่ มีคำเฉลยใดอยู่เบื้องหลังอุบาย มีสิ่งใดฝังไว้ใต้หลุมลึก
       
            แล้วเจ้าคิดว่า สิ่งใดกัน ที่สามารถนำพาเจ้าให้ก้าวขึ้นไปยืนหยัดอยู่เหนือหลุมพรางที่เจ้าพลัดหล่น
            เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ปริญญา ตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง?
       
            หากเจ้าถูกบีบรัด เผาไหม้ด้วยกองเพลิงของตัณหา ราคะ ถูกสุมด้วยกองฟืนแห่งความละโมบ อยากได้อยากมีไม่จบสิ้น ถูกไฟแห่งความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ลามเลียอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
       
            เมื่อเจ้าตกอยู่ในสภาพการณ์เยี่ยงนั้น เปลือกอันรุ่มรวยเป็นต้นว่าเงินทองมหาศาล หรือชื่อเสียงประดามี ที่เจ้าคิดว่ามันเชิดหน้าชูตาเจ้าเอาไว้ จะช่วยฉุดดึงเจ้าขึ้นมาจากขุมนรกในใจได้หรือไม่
       
            มนุษย์เอย นับวันโลกของเราจะถูกห่มคลุมด้วยเปลือกอันรุ่มรวยที่แสนเปราะบาง มิหนำซ้ำ ความเปราะบางจอมปลอมนั้น ยังถูกฉาบไว้อย่างพอกหนา กระทั่งก่อตัวเป็นกำแพงลวง ที่ทำให้เราหลงคิดไปว่า มันคือความมั่นคงที่แท้ ซึ่งสามารถเกาะฉวยฉุดคว้าไว้เป็นหลักยึดได้ในยามที่พลัดหล่นลงก้นหลุม

       

        
            พลานุภาพที่แท้จริง ทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ยังคงรอคอยให้มนุษย์ค้นพบเสมอ
            รอคอยมาแล้วเนิ่นนาน มีผู้คนมากมายค้นพบ มีหลายคนพบแล้วบอกต่อ
       
            มหาบูรพสูรย์ เล่มนี้ ก็คืออีกหนึ่งในบทบันทึกที่บรรพชนถ่ายทอดการค้นพบไว้แก่ชนรุ่นหลัง
       
            แต่นั่นยังนับว่าน้อยแสนน้อย อย่างเทียบกันไม่ได้ กับผู้คนที่ยังหลงคิดว่าบางสิ่งที่ลวงตา ลวงใจ คือหลักยึดอันแท้จริงของชีวิต ทว่า ตราบที่ดวงตะวันยังคงฉายแสง ความลับของพลานุภาพอันไพศาล จะยังคงรอคอยการค้นพบต่อไป
       
            สำคัญกว่านั้น ในวันที่มนุษย์เหินบินอยู่เหนือปีกนก วันที่ดวงดาวในห้วงอวกาศถูกเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า วันที่เราสร้างแผ่นดินถมท้องทะเล
           

            วันที่เราก้าวมาไกลถึงเพียงนี้ เจ้ายังมีศรัทธาอยู่หรือไม่?
       

            ศรัทธาต่อฟ้า ศรัทธาต่อสวรรค์ ศรัทธาต่อภูมิปัญญาและปรีชาญาณของบรรพชน
       

                          .............
       
                ตัวหนอนบนกองหนังสือ
       
       -หมายเหตุ : มหาบูรพสูรย์ เขียนโดย เชอเกียม ตรุงปะ (ดอร์เจ ดราดุล แห่งมุกโป) แปลโดย พจนา จันทรสันติ , ร. จันเสน บรรณาธิการ
       -ภาพประกอบ: ‘บรรยากาศยามเช้า’ โดย Issared Wongsing
       
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000108309

--
Web link
http://www.cloudbookclub.com/about.htm
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://sundara21.blogspot.com/
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com/v1/
http://cloudbookclub.blogspot.com
http://blogok09.blogspot.com
http://thairaptorgroup.com/TRG/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=2049
http://www.ias.chula.ac.th/Thai/modules.php?name=NuCalendar

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

บ.สิงคโปร์ขอขุดดินตะกอนจากแม่น้ำตะกั่วป่าขนกลับประเทศอ้างไม่มีคุณสมบัติในอุตสาหกรรมใด



ภาพประกอบ

 
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 18:27:04 น.  มติชนออนไลน์

บ.สิงคโปร์ขอขุดดินตะกอนจากแม่น้ำตะกั่วป่าขนกลับประเทศอ้างไม่มีคุณสมบัติในอุตสาหกรรมใด

บ.สิงคโปร์ ทำหนังสือถึงกรมทรัพยากรธรณีขอนำทรายและตะกอนจากแม่น้ำตะกั่วป่า ออกนอกราชอาณาจักรอ้างว่าไม่มีคุณสมบัติในอุตสาหกรรมใดๆไม่คิดค่าแรงขุดขอ ดินและตะกอนกลับไป

นายธนู แนบเนียน ผู้ประสานงานองค์กรความร่วมมือทรัพยากรธรรมชาติและอันดามัน เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 กันยายน ว่า ขณะนี้มีบริษัทต่างประเทศ ชื่อ บริษัท เค แซน แอนด์ รีซอสเซส คอร์เปอเรชัน ของประเทศสิงคโปร์ ทำหนังสือถึงกรมการค้ากระทรวงการต่างประเทศ กรมทรัพยากรธรณี ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมศุลกากร และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อขออนุญาตนำทรายจากการขุดตะกอนและสันดอนดิน ที่บริเวณปากแม่น้ำตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อขออนุญาตนำทรายออกนอกราชอาณาจักร


"โดยอ้างว่าตะกอนดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้ในอุตสาหกรรมใดๆ ซึ่งโดยหลักการตามกฎหมายแล้ว การนำทรายออกนอกราชอาณาจักรนั้นถือว่าผิดกฎหมาย ประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 69 พ.ศ.2537 และฉบับที่ 87 พ.ศ. 2541 อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม การดำเนินการใดๆ จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและต้องทำรายงานผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมเนื่องจากตะกอนดินและสันทรายที่จะต้องขุดออกไปมีมากกว่า 1 ล้านคิวบิกเมตร"  นายธนูกล่าว และว่า ในรายละเอียดนั้นทราบเบื้องต้นว่าบริษัทจะไม่คิดค่าแรง สำหรับการทำงานครั้งนี้แต่จะขอดินและตะกอนกลับไปใช้ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งดูเหมือนเป็นวิธีการของนักบุญแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ที่สำคัญเวลานี้ประชาชนชาว จ.พังงา ยังไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้น"

 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางดวงพร รอดพยาธิ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้มีหนังสือด่วนเลขที่ พณ 0309/ 2484 ถึงอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขออนุญาตส่งตะกอนลำน้ำออกไปนอกราชอาณาจักร ตามที่บริษัท เค แซน แอนด์ รีซอสเซส คอร์เปอเรชัน จำกัดแจ้งว่า ได้รับอนุมัติให้ขุดตะกอนทรายและสันดอน บริเวณปากแม่น้ำตะกั่วป่า ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องนำตะกอนจากการขุดลอกลำน้ำไปกำจัดทิ้ง จำนวนมาก และตะกอนดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้ในอุตสาหกรรมใดๆ บริษัทอ้างว่าควรนำตะกอนที่ได้จากการขุดลอกนั้นส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ แต่เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 69 และฉบับที่ 87 พ.ศ.2541 ห้ามส่งทรายออกนอกราชอาณาจักร บริษัทจึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ และกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาโดยขอให้พิจารณาภายในเดือนกันยายนนี้ 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้บริษัทได้ทำเรื่องที่จะขออนุญาตนำทรายออกนอกราชอาณาจักรไปยังหลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเจ้าของประกาศ 2 ฉบับดังกล่าว รวมทั้งกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งกำหนดมาตรฐานตะกอนหรือทรายว่าจะต้องมีซิลิกาออกไซด์ ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในตัวทรายไม่เกิน 75% ของน้ำหนัก ทั้งนี้ บริษัทได้เก็บตัวอย่างตะกอนในพื้นที่บางส่วนไปส่งให้ห้องปฏิบัติการทางวิทยา ศาสตร์ของกรมทรัพยากรธรณีตรวจสอบ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่าตะกอนดังกล่าวมีซิลิกาออกไซด์ เป็นส่วนประกอบจำนวน 73.75% อย่างไรก็ตาม มีเสียงท้วงติงจากนักวิชาการด้านทรัพยกรธรณีว่ายังเก็บตัวอย่างไม่ครอบคลุม เพียงพอ อีกทั้งยังใกล้เคียงกับมาตรฐานการอนุญาตนำออกนอกราชอาณาจักร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมพิจารณาเรื่องการห้ามส่งออกทรายออกนอกราชอาณาจักรของกรมการค้า ต่างประเทศ ซึ่งมีนางอัญชนา วิทยาธรรมทัช รองอธิบดีกรมการค้ากระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในที่ประชุม และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งผู้แทนจากกรมศุลกากรระบุว่าการอนุญาตเรื่องนี้จะทำได้ก็ต้องเมื่อให้คณะ กรรมการลงไปตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแจ้งให้ท้องถิ่นทราบ ส่วน กพร.ระบุว่าการตรวจสอบซิลิกาฯในตะกอนทรายจะต้องมีรายละเอียดและตัวอย่าง มากกว่านี้ และผู้แทนจาก สผ.ระบุว่าต้องมีพิจารณาความคุ้มค่าเพราะว่าการจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อมอย่างแน่นอน ที่สำคัญเรื่องนี้ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ก่อน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1253100930&grpid=01&catid=
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

กรีนพีซเปิดตัวศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ เรียกร้องถึงอนาคตแห่งความมั่นคงทางอาหาร

 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กันยายน 2552 17:48 น.
ศิลปะบนนาข้าวเกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดราชบุรี (กรีนพีซ)
       กรีนพีซ - กรี นพีซเปิดตัวภาพศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ เพื่อสะท้อนถึงความภูมิใจในข้าวไทย พร้อมย้ำเตือนรัฐบาลให้ร่วมปกป้องข้าวไทยอันเป็นสมบัติของชาติจากการดัดแปลง พันธุกรรม และภัยคุกคามอันร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
       
       ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 10 ไร่ แสดงภาพชาวนาสวมงอบกำลังเกี่ยวข้าว สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวนาไทย ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ภาพศิลปะดังกล่าวเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของชาวนาในจังหวัดราชบุรี สมาชิกกรีนพีซ อาสามัคร และนักกิจกรรมของกรีนพีซ ร่วมปลูกข้าว 2 สายพันธุ์ นั่นคือ พันธุ์ชัยนาท 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเจ้าชนิดไม่ไวแสง ลำต้นและกาบใบมีลักษณะสีเขียวเมื่อนำมาปักดำจะให้สีเขียวเป็นพื้นหลังของภาพ และพันธุ์ก่ำพะเยา ซึ่งให้สีดำ จนสามารถสร้างสรรค์เป็นภาพชาวนาและลวดลายต่างๆบนผืนนา
       
       “ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำในการเพาะปลูกข้าว และยังเป็นอู่ข้าวของโลก หากชาวไทยทุกคนร่วมกันปกปักรักษาสายพันธุ์ข้าวดั้งเดิมของประเทศ กรีนพีซเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านการเพาะปลูกข้าวด้วย วิธีเกษตรกรรมยั่งยืน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการปกป้องข้าวไทยให้พ้นจากเทคโนโลยีที่เสี่ยงอย่างจี เอ็มโอ และมุ่งสู่การทำเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่นอกจากจะให้ผลผลิตที่ ดีแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเคมีที่เป็นอันตราย” นางสาวณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านเกษตรกรรมยั่งยืน กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
       
       กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลต่อต้านพืชจีเอ็มโอ หรือพืชดัดแปลงพันธุกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวจีเอ็มโอ เนื่องจากจีเอ็มโอไม่เคยได้รับการพิสูจน์ใดๆว่ามีความปลอดภัยต่อการบริโภค ของมนุษย์ ซ้ำร้ายยังทำลายวิถีชีวิตชาวนาไทย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ นอกจากนี้จีเอ็มโอยังส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ กระตุ้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และยังเป็นตัวการที่ทำให้ผลผลิตข้าว ที่แต่เดิมได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่แล้วนั้นให้มี ปริมาณลดลง (1)
       
       ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรีนพีซนำความภาคภูมิใจในข้าวไทยมาสู่คนไทยทั้งประเทศ เมื่อกินเนสส์เวิร์ลด์ เรคคอร์ด ได้ออกประกาศนียบัตรยกย่องให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดใน โลก พร้อมเรียกร้องให้ชาวไทยร่วมปกป้องข้าวไทยให้ปลอดจากการดัดแปลงพันธุกรรม
       
       ในวันนี้ กรีนพีซได้เปิดตัวศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ณ จังหวัดราชบุรี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่บนที่ราบตอนกลางของประเทศ ที่ราบตอนกลางของไทยเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตข้าวได้มากที่สุดในประเทศและใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
       
       เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา องค์กรพัฒนาเอกชนหลากหลายองค์กรได้ร่วมจัดแถลงการณ์เปิดตัวโครงการรณรงค์ Tcktcktck ในเอเชียแปซิฟิก (2) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้มีการลงมือแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ไดน่าห์ ฟูเอ็นเตสฟิน่า โฆษกโครงการรณรงค์ Tcktcktck กล่าวว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผู้นำโลกในด้านการทำเกษตรกรรม แต่ในขณะเดียวกัน ยังเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศมากที่สุด” กรีนพีซ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการรณรงค์ Tcktcktck ได้เรียกร้องให้ผู้นำโลกออกกฎบัตรและข้อตกลงที่เป็นธรรมด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศในการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กรุง โคเปนเฮเกนประเทศเดนมาร์กในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้เพื่อปกป้องความมั่นคงของอนาคตภูมิภาค
       
       ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (An Asian Development Bank หรือ ADB) ได้เปิดเผยการศึกษาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (3) ว่า หากยังขาดการลงมือปฏิบัติในระดับโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกข้าว อย่างเช่น ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทยและเวียดนาม โดยอาจจะส่งผลกระทบให้ผลผลิตข้าวที่ได้ลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี พ.ศ. 2643 เมื่อเทียบกับปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2533
       
       “70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประสบปัญหาความยากจนในโลกนี้ พบในพื้นที่เกษตรกรรม ที่ซึ่งเกษตรกรพึ่งพาฝนตามฤดูกาลในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว หากพื้นที่เพาะปลูกได้รับฝนมากหรือน้อยเกินไปก็จะทำให้ผลผลิตเหล่านั้นเสีย หายได้ โลกควรระลึกเสมอว่าเกษตรกรรมเป็นภาคที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรสนับสนุนและวางกลยุทธ์โดยใช้วิธีการทำเกษตรกรรมที่ ยั่งยืน” ฟูเอ็นเตสฟิน่า กล่าวเสริม
       
       “ภาพศิลปะบนนาข้าวนี้เป็นสัญลักษณ์กระตุ้นและย้ำเตือนรัฐบาลว่าข้าว ไทยกำลังถูกคุกคามและควรได้รับการปกป้องอย่างเร่งด่วน หยาดเหงื่อและความร่วมมือของชุมชน เกษตรกร และอาสาสมัครกรีนพีซ ที่ร่วมสร้างสรรค์ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์นี้ แสดงให้เห็นทางออกเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร นั่นคือ การทำเกษตรกรรมอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ นอกจากนี้ยังเป็นทางออกของการแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันจะนำมาซึ่งการปกป้องอนาคตของคนรุ่นหลังต่อไป” ณัฐวิภา กล่าวเสริม
       
       กรีนพีซ ทำงานรณรงค์ด้วยหลักการเผชิญหน้าอย่างสันติวิธี นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และสันติภาพ กรีนพีซรณรงค์เพื่อต่อต้านพืชจีเอ็มโอรวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของ พืชจีเอ็มโอทั้งหมด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญบนหลักการของความยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าและปลอดภัย การดัดแปลงพันธุกรรมเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยและไม่เป็นที่ต้องการของสังคม โลกอีกทั้งยังทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างความเสี่ยงให้กับผู้บริโภค
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000100935

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://ktblog1951.blogspot.com/ monday
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday