ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คนสุรินทร์เฮ!ช้างพังเมย์ตกลูกปลอดภัยตั้งชื่อ"พลายขวัญเมือง"

 คนสุรินทร์เฮ!ช้างพังเมย์ตกลูกปลอดภัยตั้งชื่อ"พลายขวัญเมือง"

ข่าววันที่ 30 สิงหาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

เมื่อ เวลา 03.30 น.วันนี้ 30 ส.ค. 52 ที่บ้านท่าลาด ต.ศรีณรงค์ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ นายสุดใจ โมกหอม อายุ 31 ปี ชาวบ้านท่าลาด เจ้าของช้าง และเพื่อนบ้านท่าลาด ได้ช่วยกันดูแลช้างพังพูนทรัพย์ หรือพังเมย์ อายุ 13 ปี ซึ่งตั้งท้องมาได้ 21 เดือนเศษ อีกเพียง 1 เดือนเศษ ก็จะครบ 22 เดือน ซึ่งเป็นกำหนด ที่ช้างพังเมย์จะตกลูก แต่เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา ช้างพังเมย์ ได้แสดงอาการปวดท้อง อย่างหนัก และมีน้ำคล่ำ ไหลออกมาจากช่องคลอดของช้างพูนทรัพย์หรือพังเมย์ เป็นจำนวนมาก ทำให้เจ้าของช้างต้องไปเรียกเพื่อนบ้าน มาช่วยกันเฝ้าดูแลอาการปวดท้องของช้างพังเมย์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานงานขอความช่วยเหลือ ในการดูแลอาการช้างจากนายสัตวแพทย์ ประจำสถาบันวิจัยและบริหารสุขภาพช้างแห่งชาติสุรินทร์ มาคอยช่วยดูแลอาการปวดท้องของช้างพังเมย์ อย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งช้างพังเมย์ ได้ตกลูกช้างออกมาด้วยวิธีทางธรรมชาติ ด้วยการเบ่งลูกออกมาทางช่องคลอดเอง ซึ่งช้างพังเมย์ เมื่อตกลูกออกมาแล้ว ก็พยายามที่จะเข้าไปดูแลลูกช้างน้อย แต่เนื่องจากเป็นช้างที่พึ่งจะมีการตกลูกเป็นเชือกแรก จึงช่วยเหลือลูกไม่ได้ และอาจจะเหยียบลูกเสียชีวิต เจ้าของช้าง นายสุดใจ โมกหอม พร้อมด้วยเพื่อนบ้าน ได้ช่วยกันนำช้างน้อยออกจาก แม่ ซึ่งพบว่าเป็นช้างพลาย และช่วยกัน ดึงสายรก ที่คลุม ร่างช้างน้อยออก ซึ่งปรากฎว่า ช้างน้อย และแม่ช้างปลอดภัยดี แต่แม่ช้างยังดุและหวงลูกน้อย จะเข้ามาใช้งวงดึงลูกเข้าไปหาอยู่บ่อยมาก เจ้าของช้างและเพื่อนบ้านต้องช่วยกัน นำช้างน้อยออกมาจากช้างแม่ เพราะเดี๋ยวช้างพังแม่จะดูแลลูกไม่เป็นจะทำให้ลูกบอบซ้ำและอาจได้รับบาดเจ็บ ได้ นาย สัตวแพทย์ ได้ชั่งน้ำหนักช้างน้อย มีน้ำหนัก 90-100กิโลกรัม ถือว่า เป็นช้างที่มีความสมบูรณ์ ดีทั้งแม่และลูก

นายสัตวแพทย์ จากสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ นายสัตวแพทย์ ทศพล ต่อศรี บอกว่า เมื่อเช้าได้ฉีดยาบำรุง ให้ช้างแม่พังเมย์ เป็นยาบำรุง และยากระตุ้นการหลั่งน้ำนม ซึ่งให้ยากระตุ้นการหลั่งน้ำนม ให้กับช้างแม่พังเมย์ เนื่องจากเป็นช้างที่เพิ่งตกลูกเป็นเชือกแรก น้ำนมจะออกน้อย และเมื่อให้กระตุ้นน้ำนมไปแล้ว ประมาณ 2 โมง ช้างพังเมย์ก็ให้น้ำนมแก่ลูกได้บางแล้ว แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องดูแลช้างพังแม่และลูกน้อยอย่างใกล้ชิด

นายสุดใจ โมกหอม เจ้าของช้างบอกว่า ดีใจมาก ที่ช้างได้ตกลูกออกมาเป็นช้างพลาย และเป็นช้างที่ตกลูกเป็นเชือกแรกของหมู่บ้านท่าลาด เพราะหมู่บ้านท่าลาด ต.ศรีณรงค์ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ เป็นหมู่บ้านช้างแห่งที่ สอง ของจังหวัดสุรินทร์ มีช้างมากถึง 60 เชือก หมู่บ้านช้างที่มีช้างมากแห่งแห่งคือบ้านตากลาง อ.ท่าตูม แม้จะมีช้างมากเป็นแห่งที่ สอง ของจังหวัดสุรินทร์ แต่ไม่มีช้างเชือกใดตกลูกออกมาเลย ช้างตนเองพังเมย์ เป็นช้างเชือกแรก ที่ตกลูกในหมู่บ้านดีใช้มาก จะดูแลช้างพลายน้อยอย่างดีที่สุด และตั้งชื่อให้ช้างพลายเชือกน้อยว่า "พลายขวัญเมือง"

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=108&nid=45338

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เฝ้าดูสองนกน้อยทำรัง มีความสุขจัง



 

วันเสาร์ ที่ 29 สิงหาคม 2552
เฝ้าดูสองนกน้อยทำรัง มีความสุขจัง มาดูกันเร้ววว^^
Posted by Diaphragm , ผู้อ่าน : 56 , 11:58:32 น.  
หมวด : บ้านและสวน

พิมพ์หน้านี้


ที่ระเบียงห้องของผมมีต้นไม้เล็กๆหลายต้น และแขวนเดฟหัวใจไว้ด้วย แล้ววันหนึ่งก็มีนกตัวน้อยๆคู่หนึ่งบินมาเซอร์เวย์ หาที่หาทางสำหรับสร้างรังเผื่อไว้สำหรับมาพักตากอากาศยามฤดูหนาว (อันนี้เดานะ555)

แล้ว ทั้งสองนกคงจะถูกอกถูกใจต้นเดฟหัวใจที่แขวนไว้เป็นพิเศษ เจ้านกตัวผู้คงหวังว่าจะเอาไว้เป็นรังแห่งรักของทั้งคู่น่นเอง (คิดเองเอาอีกแหละ)

หลังจากนั้นทุกๆวัน สองนกก็จะบินมาออกแบบ และคาบวัสดุก่อสร้างมาตกแต่งอยู่เสมอๆ

ผมรู้สึกดีใจที่จะมีสมาชิกใหม่มาอยู่ใต้ร่มชายคาเดียวกับผม หากโชคดี ผมอาจจะได้เห็นหน้าหลานๆ ในฤดูวางไข่ที่จะมาถึงก็ได้ ตื่นเต้นจัง

ผ่านมาหลายสัปดาห์สองนกก็ยังคงบินแวะเวียนมาอยู่เสมอ ผมก็ได้แต่เอาจช่วยให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเพื่อนบ้านไว้แก้เหงา อิอิ























 





ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม    สามสารถชมภาพความน่ารักเพิ่มเติมได้ที่นี่
http://www.oknation.net/blog/diaphragm/2009/08/29/entry-1

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย



 
จาก: ผดุงพงศ์ จัทร์สืบ <phadungphong_73@hotmail.com>
วันที่: สิงหาคม 28, 2009 6:31 ก่อนเที่ยง
หัวเรื่อง:  ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
ถึง: 


 

From: pan-ja-rat@hotmail.com
To:
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 27 Aug 2009 23:27:19 +0700


 

From: jeakjeak@hotmail.com
To: 
Subject:  ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 27 Aug 2009 20:24:08 +0700


 

From: sirisuk1981@hotmail.com
To: 
Subject: : ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 27 Aug 2009 20:21:46 +0700




From: ribbit_panitpicha@hotmail.com
To: 
Subject: : ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 27 Aug 2009 13:49:17 +0700


 

From: kuborthong@hotmail.com
To: 
Subject: : ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 11 Jun 2009 15:53:28 +0700


 

Date: Thu, 11 Jun 2009 15:23:39 +0700
Subject:  ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
From: kantimasuksub@gmail.com
To: 




From: waraporn preeprem <pukhome@gmail.com>
Date: มิ.ย. 10, 2009 10:54 ก่อนเที่ยง
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
To:




From: puk khan <puk_mirinda@windowslive.com>
Date: มิ.ย. 10, 2009 8:54 ก่อนเที่ยง
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
To:


 

From: chimaru_jung@hotmail.com
To: 
Subject: : ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Sat, 30 May 2009 08:41:45 +0700




From: jintochung@hotmail.com
To:
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Fri, 29 May 2009 16:27:33 +0700


 

From: aomyiim@hotmail.com
To: 
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Fri, 22 May 2009 00:05:41 +0700


 

From: tumkung_beamjung@hotmail.com
To: 
Subject:ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย
Date: Thu, 21 May 2009 21:56:01 +0700


 

Date: Thu, 21 May 2009 09:15:48 +0700
From: Natthavee@dit.daikin.co.jp
Subject: ใช้ใจมอง "เพื่อน" ชอบมาก โดนเลย

 
ใช้ใจมอง 'เพื่อน'
คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย ?
ถ้าไม่ ..
แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เรามาพบกับคนหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้าไม่ แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า
' เพื่อน '

.......
เพื่อน... ……………….
คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่
คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลาย
มาเป็นคนที่เรา ' ไว้ใจ '
.......
เพื่อน …………………
คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ
ไม่ว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า
…….. เพื่อน
คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆ
โดยไม่เคยเอ่ยปากว่า
'
ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร '

....…... เพื่อน ……......
คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล
ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่

........ เพื่อน..... คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ
..........
แต่ ...... เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็น
เพื่อนตายของเราหรือไม่

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้
เป็นคนที่ พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั๊ย
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า
คนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน
ทั้งหมดนี้ เราใช้ ' ตา ' มองไม่เห็น
........
แต่.......
ทั้งหมดนี้เราใช้ ' ใจ ' มองเห็นได้
เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ ?
ใช้ตามองเพื่อน หรือ ใช้ใจมองเพื่อน

เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี
จนกว่า... เราจะมี โอ กาส รู้จักกับคนนั้น แล้วใช้ ใจ ของเราสัมผัส
การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์
แต่ การคบใครสักคน จำเป็นต้องคบกันด้วยใจ
วันนี้..... คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ
อย่าบอกนะ ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อน
แค่ตา...... เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง
..... สำหรับคนที่ได้รับเมล์ฉบับนี้

คุณ.. โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วย ใจ
อย่าลืม..... ส่งเมล์ฉบับนี้ ให้กับเพื่อนที่คุณ รักด้วย ใจ
ที่สำคัญ ส่งมันกลับไปให้เพื่อนคนที่ส่งมาให้คุณ ......

เพื่อบอกกับเค้าว่า
'
คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้าเช่นกัน ' รักเพื่อนเสมอ ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ที่ไหนมิตรภาพยังคงเดิม 
 
 

DISCLAIMER:
This message (including of attachment) is private and
confidential. Unconcerned persons please return the message
to disclaimer@dit.daikin.co.jp and delete it. Copying or
disclosure of any means is prohibited and illegal.


โหลดฟรี! โปรแกรม Windows Live ครบชุด Windows Live Services

Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out!

Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

Invite your mail contacts to join your friends list with Windows Live Spaces. It's easy! Try it!

เพิ่มแผนที่และทิศทางไปสู่งานปาร์ตี้ของคุณ แสดงเส้นทาง!


โหลดฟรี! โปรแกรม Windows Live ครบชุด Windows Live Services

Buddy ครบ 10 ปี มาสร้าง Strip การ์ตูนสำหรับปาร์ตี้เพื่อชนะรางวัล $1,000 คลิกที่นี่เลย

ถูกพบอยู่กับ Buddy! แท็กรูปของคุณแล้วลุ้นคว้ารางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจ คลิกที่นี่เลย

What can you do with the new Windows Live? Find out

ถูกพบอยู่กับ Buddy! แท็กรูปของคุณแล้วลุ้นคว้ารางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจ คลิกที่นี่เลย

ถูกพบอยู่กับ Buddy! แท็กรูปของคุณแล้วลุ้นคว้ารางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจ คลิกที่นี่เลย



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาหารก่อนการออกกำลังกาย

อาหารก่อนการออกกำลังกาย
บ่อย ครั้งที่จะเห็นผู้ที่กำลังจะเริ่มออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แวะรับประทานอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาหารว่าง บางรายอาจเป็นอาหารหนักก็เคยพบเห็นได้ หลายท่านคงจะสงสัยว่า การรับประทานอาหารก่อนการออกกำลังกายนั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และมีข้อพิจารณาอย่างไร


เรื่องการรับประทานอาหารสำหรับการออกกำลังกายนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้ารับประทานอาหารไม่พอ ก็อาจจะไม่มีแรงในการออกกำลังกาย หรือหากรับประทานอาหารมากเกินไป อาจจะรู้สึกไม่สบายท้อง หรือออกกำลังกายไม่ไหว นักกีฬาควรได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 200-300 กรัม ในช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมง ก่อนการออกกำลังกาย

โดยปกติขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะมีเกิดการขยายตัวของปอด ทำให้กระบังลมที่อยู่เหนือกระเพาะอาหารต้อง เคลื่อนไหวขึ้นลงตามการขยายตัวของปอดอยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าที่กำลังออกกำลังกายอยู่ ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายในปริมาณมาก จะมีผลให้กระเพาะอาหารใหญ่ขึ้น และการเคลื่อนไหวของกระบังลมจะลดน้อยลง เลือดมาเลี้ยงกระเพาะอาหารมากขึ้น เพื่อช่วยในการย่อย และดูดซึมอาหาร ในขณะเดียวกันเลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่มีส่วนในการออกกำลังกายน้อยลง และหากเป็นกีฬาที่มีการกระทบกระแทกกันรุนแรง อาจทำให้กระเพาะอาหารแตกได้

ดังนั้น ควรงดอาหารหนักก่อนการออกกำลังกาย และมื้อสุดท้ายควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย และรับประทานอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย สำหรับกีฬาที่ต้องเล่นเป็นเวลานานๆ เช่น การขี่จักรยานทางไกล ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก อาจจำเป็นต้องได้รับอาหารที่ย่อยง่าย และมีปริมาณไม่ถึงกับอิ่มเป็นระยะๆ อาหารที่เหมาะสมที่สุด คือ อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอยู่ในสภาพที่เป็นของเหลว และมีกากใยน้อย

หลังออกกำลังกายร่างกายต้องการการฟื้นตัว ต้องการพลังงานเพื่อให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ น้ำและเกลือแร่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ การออกกำลังกายทำให้ไกลโคเจนที่สะสมไว้ที่ตับ และกล้ามเนื้อถูกใช้ไป จึงต้องมีการสะสมเพิ่มเติม ซึ่งสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนช่วยเพิ่มการสะสมไกลโคเจนได้เพื่อทดแทนปริมาณที่ถูกใช้ไป

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการได้แนะนำว่า หลังการออกกำลังกายประมาณ 15-30 นาที ควรได้รับคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 50 กรัม และโปรตีนอีก 15-20 กรัม เพื่อทำให้สะสมไกลโคเจนได้เร็วขึ้น และร่างกายสามารถนำไปใช้ซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น


    ตัวอย่างอาหารสำหรับก่อนการออกกำลังกาย ได้แก่ กล้วย 1/2 ผล, ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น, แอปเปิ้ล 1 ผล, แครกเกอร์ชิ้นเล็ก 10-15 ชิ้น

    ตัวอย่างอาหารระหว่างการออกกำลังกาย ได้แก่ น้ำเกลือแร่ 1 แก้ว, ลูกเกด 1/2 ถ้วย, ขนมปังกรอบ 5 แผ่น, น้ำหวาน 1 แก้ว, น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

    ตัวอย่างหลังออกกำลังกาย ได้แก่ นมรสช็อกโกแลตไขมันต่ำ 1 ถ้วย, ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น ทาเนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย, องุ่น 1 ถ้วย, สับปะรด 1 ถ้วย

https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=30348&Browsesub2s=1740


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

กีวีผลไม้ของคนทั้งโลก

 
กีวีผลไม้ของคนทั้งโลก

กีวี ไม้ผลประเภทเลื้อยเถาในเขตหนาวที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แต่ได้พัฒนาให้กลายเป็นผลไม้เศรษฐกิจโดยประเทศนิวซีแลนด์ และได้แพร่กระจายและปลูกเป็นการค้าในหลายๆ ประเทศ กีวีมีผลผลิตโดยรวมประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ 5 อันดับได้แก่ ประเทศอิตาลี นิวซีแลนด์ จีน ชิลี และฝรั่งเศส เป็นต้น



เรื่องราวของกีวีเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว เมื่อมิสชันนารีชาวนิวซีแลนด์คณะหนึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และได้นำ ผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ไชนิส กูสเบอร์รี" (Chinese gooseberries) กลับมาด้วย และในปี พ.ศ.2407 ก็ได้นำกีวีไปปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์ครั้งแรก นั่นเอง

หลังจากที่ได้กีวีมาปลูกลงบนผืนดินของนิวซีแลนด์แล้ว ด้วยสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช ผลไม้ชนิดนี้จึงมีรสชาติดีขึ้น ชาวนิวซีแลนด์กินไชนิส กูสเบอร์รีกันเรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ.2502 พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อ "กีวี่ฟรุต" (Kiwifruit) เป็นชื่อใหม่ของผลไม้ชนิดนี้ ตามชื่อนกกีวีที่เป็นนกสัญลักษณ์ของประเทศ (นกกีวี เป็นนกที่ไม่มีปีก พบเฉพาะในประเทศ นิวซีแลนด์ ชื่อกีวีตั้งตามเสียงร้องของมันโดยชาวเมารี มีขนสีน้ำตาล หรือเทา บางครั้งมีลายเป็นจุดๆ มีหัวขนาดเล็กและปีกเล็กๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว แต่ไม่มีหาง) และเพื่อบ่งบอกว่านี่คือผลไม้ที่ส่งออกไปจากนิวซีแลนด์

ในปี พ.ศ.2495 เป็นครั้งแรกที่ผู้ปลูกกีวีในนิวซีแลนด์ได้ส่งกีวีไปจำหน่ายยังสหราชอาณาจักร แต่ยังส่งไปในนามไชนีส กูสเบอร์รี

ปัจจุบัน นิวซีแลนด์พัฒนาคุณภาพกีวีจนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สามารถส่งออกกีวีไปยังผู้บริโภคใน 70 ประเทศ เฉพาะยุโรปทวีปเดียวก็ทำสถิติขายได้ปีละ 1.5 ล้านล้านผล รวมทั้งส่งกีวีมาจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย



สำหรับประเทศไทยโครงการหลวงได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำพันธุ์กีวีฟรุตจากประเทศนิวซีแลนด์เข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ.2519 ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และพบว่ากีวีฟรุตบางพันธุ์สามารถออกดอกและติดผลได้ดี มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังคงไม่สามารถส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นอาชีพอย่างแพร่หลายได้ เนื่องจากพันธุ์กีวีฟรุตที่นำมาปลูกส่วนใหญ่เป็นชนิด A. deliciosa ซึ่งต้องการอากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็น ผลผลิตกีวีฟรุตโครงการหลวงมีจำหน่ายจึงยังน้อยมาก คือ ประมาณ 3-4 ตันต่อปีเท่านั้น ปัจจุบันโครงการหลวงได้วิจัยและพัฒนาพันธุ์กีวีฟรุตได้สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถปลูกได้ดีในสภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นนัก กีวีฟรุตจึงนับว่าเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพดีชนิดหนึ่งในอนาคต




  1. Actinidia deliciosa เป็นกีวีฟรุตที่ปลูกเป็นการค้ามากที่สุดของโลก ลักษณะโดยทั่วไปผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขน เนื้อผลสีเขียว มีปริมาณวิตามินซี 100-200 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hayward สำหรับพันธุ์ที่ปลูกได้ค่อนข้างดีในประเทศไทย คือ พันธุ์ Bruno


  2. A. chinensis เป็นกีวีฟรุตชนิดที่เริ่มมีความนิยมที่ปลูกเป็นการค้าใหม่ๆ ขึ้นมามาก พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Hort16A ของนิวซีแลนด์ กีวีฟรุตชนิดนี้ต้องการความหนาวเย็นมากสั้นกว่า A. deliciosa จึงเป็นชนิดที่มีศัยกภาพในการปลูกเป็นการค้าในประเทศไทย เช่น พันธุ์ Yellow joy จากประเทศญี่ปุ่น และพันธุ์ลูกผสมต่างๆ จากโครงการศึกษาและคัดเลือกพันธุ์กีวีฟรุตของโครงการหลวง ส่วนใหญ่กีวีฟรุตเนื้อผลมีสีเหลืองผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 100-150 กรัม ผิวผลสีน้ำตาล มีขนค่อนข้างสั้น มีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 100-200 มิลิลกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม


  3. A. arguta มีชื่อเรียกว่า Baby Kiwi, Wee-kis หรือ Grape Kiwi เป็นกีวีฟรุตที่มีการปลูกเป็นการค้าแต่ยังไม่มากนัก ลักษณะโดยทั่วไปผลขนาดเล็ก น้ำหนักผลประมาณ 6-14 กรัม ผิวผลเรียบไม่มีขน รับประทานได้ทั้งเปลือก รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมมีปริมาณวิตามินซี ประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเนื้อผล 100 กรัม พันธุ์ที่เป็นการค้าที่สำคัญของโลกได้แก่ พันธุ์ Ananasnaya สำหรับประเทศไทยมีหลายพันธุ์ที่นำมาจากประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าศักยภาพดี


กีวีเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยคุณค่าสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์สำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย มีข้อมูลและรายงานการวิจัยมากมายที่สนับสนุนคุณค่าของกีวีและการบริโภคกีวี ลิลลี่ ดรัมมอนด์ Food Science Advisor ที่ พลานท์ แอนด์ ฟู้ด รีเสิร์จ บรรยายว่า ในกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย (ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราบริโภคอาหาร) จะเกิดอนุมูลอิสระที่เรียกว่า "ออกซิแดนท์" ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมต่อเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย (ทำลาย DNA) เมื่อเซลล์เสื่อมก็ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคไม่พึงประสงค์ต่างๆ ขั้นต้นก็ผิวพรรณร่วงโรยไม่สดใส ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า เกิดการอักเสบต่างๆ ไปจนถึงโรคหนักๆ อย่างโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และมะเร็ง แต่กีวีได้ผ่านการวิจัยแล้วว่าเป็นผลไม้ที่มี วิตามินซี และวิตามินอีในสัดส่วนสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (ตัวต้านออกซิแดนท์) ที่ทรงประสิทธิภาพมาก


  • กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซีสูงถึง 167% ของ RDA (Recommended Daily Allowance) ให้วิตามินซีมากกว่าการบริโภคแอปเปิล ส้ม กล้วย แครนเบอร์รี องุ่น ลูกแพร์ ทับทิม ในปริมาณที่เท่ากัน


  • วิตามินอีในกีวีเป็นวิตามินอีที่อยู่ในแหล่งอาหารที่ปราศจากไขมัน จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ในตัว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย


  • โพแทสเซียม (331 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหัวใจวาย โพแทสเซียมช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูงได้ ผู้มีอายุต้องการโพแทสเซียมช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและ เส้นใยประสาท กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง แต่กล้วยหอม 100 กรัม ให้พลังงานสูงกว่ากีวีถึง 2 เท่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำคงเผาผลาญพลังงานไปได้ แต่สำหรับคนที่ขาดการออกกำลังกาย พลังงานส่วนเกินที่ได้รับมีผลต่อน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้น


  • ไฟเบอร์ (3.4 กรัม/กีวี 100 กรัม) ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างสุขภาพดีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 38 ราย กลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารตามปกติ อีกกลุ่มรับประทานอาหารตามปกติเช่นกันและกินกีวีด้วยอัตรากีวี 1 ผล/น้ำหนักตัว 30 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่กินกีวีด้วยนั้นขับถ่ายสะดวกและสม่ำเสมอกว่ากลุ่มที่รับประทาน อาหารตามปกติอย่างเดียว ผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่ให้เส้นใยอาหาร (Fibre หน่วยกรัม/100 กรัม) เช่น ลูกแพร์ 2.2, แอปเปิล 1.8, ส้ม 1.7, กีวีสีทอง 1.4, กล้วยหอม 1.1, กรัม, องุ่น 0.7


  • โฟลเลต คือแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ (หมายถึงโครงสร้างร่างกายทั้งหมด) เช่น การสร้างอวัยวะทารกในครรภ์ การสร้างเม็ดเลือด การสร้างสารพันธุกรรมในร่างกาย คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ขาดโฟลเลตมีความเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาท กีวี 1 ผล ขนาด 76 กรัม มีโฟลเลต 19 ไมโครกรัม หรือ 5% ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน (RDA)


  • แมกนีเซียม (30 มิลลิกรัม/กีวี 100 กรัม) ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้สร้างเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันได้ต้อง อาศัยการทำงานร่วมกันของแมกนีเซียม กระดูกที่แข็งแรงช่วยให้ร่างกายทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้คล่องตัวขึ้น และมีความสุขกับชีวิตได้เต็มที่ แมกนีเซียมที่มีในผลไม้ชนิดอื่น (หน่วยมิลลิกรัม/100 กรัม) เช่น กล้วยหอม 34, กีวีสีทอง 14.5, ส้ม 10, องุ่นและลูกแพร์ 7, ส้ม 5


  • ซิงก์ แร่ธาตุชนิดนี้มีความสำคัญสำหรับเด็กหนุ่มและผู้ชายทุกคน เพราะเป็นแร่ธาตุที่ใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย (เทสโตสเตอโรน)
จากผลการศึกษาในนิวซีแลนด์และยุโรปพบว่า การรับประทานกีวี 2 ผล/วัน จะช่วยลดภาวะที่เซลล์จะถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และยังช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลายจากกระบวนเผาผลาญอาหารของร่างกายได้ อีกด้วย รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกาย

นักวิจัยในสหรัฐอเมริกายังพบประโยชน์อีกว่า เมื่อกินกีวีพร้อมหรือกินหลังอาหาร - โดยเฉพาะหากอาหารมื้อนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันมาก - แร่ธาตุในกีวีจะช่วยลดสภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลอิสระ มีไม่เพียงพอได้ด้วย



ที่มาข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ
http://e-learning.konmun.com

 
https://www.myfirstbrain.com/Knowledge_View.aspx?Id=70535&Browsesub2s=1740

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/